มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ แม้จะมีการดำเนินโรคอย่างเงียบ ๆ แต่หากรู้เท่าทันสัญญาณเตือนและได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ โอกาสหายสูงมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการเตือน วิธีสังเกต และแนวทางป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก
1. ภาพรวมเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งร้ายแรงที่พบมากในผู้หญิง เป็นรองเพียงมะเร็งเต้านมเท่านั้น โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณปากมดลูกมีการเจริญเติบโตผิดปกติจนควบคุมไม่ได้ และสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง
จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงมากกว่า 600,000 คนทั่วโลกที่ป่วยใหม่ด้วยมะเร็งปากมดลูก และมีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 340,000 คน แม้จะอันตราย แต่มะเร็งปากมดลูกถือเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ หากตรวจพบแต่ระยะแรก
สาเหตุหลักของโรคนี้คือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV-16 และ HPV-18 นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม และภูมิคุ้มกันของร่างกายก็มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคนี้เช่นกัน
2. ทำไมจึงต้องรู้เท่าทันสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูกแต่เนิ่นๆ?
ในระยะแรกของโรค มะเร็งปากมดลูกมักไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากไม่ทันระวังตัว กว่าจะตรวจพบก็มักอยู่ในระยะที่เซลล์มะเร็งลุกลามไปแล้ว ส่งผลให้การรักษายากและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอและการใส่ใจอาการผิดปกติบริเวณจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้ตรวจพบเซลล์ก่อนเป็นมะเร็งหรือมะเร็งระยะเริ่มต้น เพิ่มโอกาสรักษาหายสูงถึง 90%
3. 15 สัญญาณมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยที่สุด
3.1. มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
นี่เป็นสัญญาณแรกๆ ที่พบได้ง่าย ผู้หญิงอาจมีเลือดออกระหว่างรอบเดือน, หลังมีเพศสัมพันธ์, หลังหมดประจำเดือน หรือหลังตรวจภายใน
สาเหตุเกิดจากเซลล์มะเร็งไปทำลายเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กที่ปากมดลูก ทำให้มีเลือดออกทีละน้อยแต่เรื้อรัง

3.2. ประจำเดือนมานานและรอบเดือนผิดปกติ
รอบเดือนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ประจำเดือนมานานกว่า 7 วัน, ปริมาณเลือดมาก, สีเข้มหรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติในมดลูกหรือปากมดลูก
3.3. ตกขาวมีกลิ่นและสีผิดปกติ
ตกขาวออกมากผิดปกติ มีสีเหลือง เขียว น้ำตาล หรือปนเลือด ถือเป็นอาการที่ไม่ควรละเลย เมื่อเซลล์มะเร็งโตขึ้น จะไปทำให้ต่อมผลิตน้ำเมือกทำงานผิดปกติ ตกขาวจึงอาจมีกลิ่นเหม็น กลิ่นคาว หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์แบบต่อเนื่อง
3.4. เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
ก้อนเนื้องอกที่ปากมดลูกอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวม หรือมีเลือดออกเมื่อมีการกระทบกระเทือน ส่งผลให้เจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์ หากมีอาการเช่นนี้ซ้ำๆ ควรรีบพบแพทย์

3.5. ปวดท้องน้อยหรือปวดบริเวณเชิงกราน
รู้สึกปวดตื้อๆ บริเวณท้องน้อย หลัง หรือเชิงกราน อาจเป็นสัญญาณว่าเนื้องอกกำลังไปกดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะข้างเคียง
3.6. ปวดหรือปัสสาวะเป็นเลือด
หากมะเร็งลุกลามไปยังกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะลำบาก หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ ซึ่งเป็นอาการในระยะที่โรคกำลังรุนแรงมากขึ้น
3.7. ท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบากหรือมีเลือด
มะเร็งปากมดลูกอาจกดทับลำไส้ตรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ปวดท้อง หรือในบางรายอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระ
3.8. ขาบวมหรือปวดร้าวลงต้นขา
เมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ขาบวม หรือมีอาการปวดร้าวจากเชิงกรานลงมาต้นขา
3.9. น้ำหนักลดเร็ว เหนื่อยล้า
การเจริญเติบโตของก้อนเนื้องอกทำให้ร่างกายใช้พลังงานมาก ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ และมักรู้สึกอ่อนล้า เพลีย หรือมีปัญหานอนไม่หลับตลอดเวลา
3.10. ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง
อาการปวดหลังช่วงล่างมักพบในรายที่มะเร็งลุกลามไปยังเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อบริเวณเชิงกราน โดยอาการปวดอาจมากขึ้นเมื่อต้องยืนนานหรืองานที่ใช้แรงเยอะ
3.11. ต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือขาหนีบบวม
หากคลำเจอก้อนแข็งที่คอหรือขาหนีบ ไม่เจ็บ อาจเป็นสัญญาณว่าเซลล์มะเร็งเริ่มแพร่กระจาย
3.12. มีตกขาวหรือเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน
ผู้หญิงหลายคนคิดว่าเมื่อหมดประจำเดือนแล้วไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้ามีตกขาวหรือมีเลือดออกผิดปกติหลังวัยหมดประจำเดือน ควรพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก
3.13. ตกขาวออกมากและมีฟอง
หากมีตกขาวมากผิดปกติ มีฟอง หรือมีกลิ่นเหม็นคาว อาจชี้ถึงการอักเสบติดเชื้อหรือความผิดปกติที่ปากมดลูกได้
3.14. ภาวะซีด โลหิตจาง
การเสียเลือดเรื้อรังทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง รู้สึกหน้ามืด เวียนศีรษะ และอ่อนเพลียง่าย
3.15. ตัวร้อนหรือมีไข้ต่ำ เหงื่อออกตอนกลางคืน
นี่เป็นอาการที่เกิดร่วมกับโรคมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูกด้วย
4. ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก
- มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย (ก่อน 18 ปี)
- มีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนมีประวัติความสัมพันธ์ซับซ้อน
- คลอดลูกหลายครั้ง หรือคลอดลูกตั้งแต่อายุยังน้อย
- สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- ภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือมีโรคเรื้อรัง)
- ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกัน HPV
- ไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองทางนรีเวชสม่ำเสมอ
5. วิธีวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก
เพื่อวินิจฉัยโรคนี้อย่างแม่นยำ แพทย์จะใช้หลายวิธีประกอบกัน ได้แก่
- การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear): ตรวจหาเซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูก
- การตรวจ DNA ของเชื้อ HPV: เพื่อดูว่าเป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูงหรือไม่
- การส่องกล้องตรวจปากมดลูกและตัดชิ้นเนื้อ: เพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจวินิจฉัย
- อัลตราซาวด์, MRI หรือ CT scan: เพื่อประเมินการลุกลามและการแพร่กระจายของโรค
6. มะเร็งปากมดลูกรักษาหายได้หรือไม่?
หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก (ระยะที่ 1) อัตราการรอดชีวิต 5 ปีสูงถึง 90–95%
แต่ถ้าเข้าสู่ระยะที่ 2 อัตรานี้จะลดเหลือประมาณ 60–70%
ในกรณีที่โรคกระจายไกล (ระยะที่ 4) อัตราการรอดชีวิต 5 ปีเหลือเพียง 15–20%
ดังนั้น การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอและการรู้เท่าทันอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญที่เพิ่มโอกาสหายขาดจากโรค
7. การป้องกันมะเร็งปากมดลูกอย่างมีประสิทธิภาพ
7.1. การฉีดวัคซีน HPV
การฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง (อย่าง HPV-16, 18, 31, 33, 45 ฯลฯ)
- ควรฉีดในช่วงอายุ 9–26 ปีเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
- แม้เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่อาจได้ประสิทธิภาพการป้องกันน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
7.2. ตรวจภายในเป็นประจำ
การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) ทุก 6–12 เดือนจะช่วยตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ได้ตั้งแต่ระยะแรก สำหรับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจ DNA ของเชื้อ HPV เพิ่มเติมร่วมด้วย
7.3. ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตให้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
- รับประทานผัก ผลไม้ วิตามินซี และวิตามินอีให้เพียงพอ
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และควรมีคู่อย่างเดียว
8. เมื่อใดควรพบแพทย์ทันที?
ควรรีบไปพบแพทย์ตามสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ หากมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ข้อ
- มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
- เจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็นหรือปนเลือด
- ปวดท้องน้อยหรือปวดเชิงกรานเรื้อรัง
- น้ำหนักลดรวดเร็ว เหนื่อยล้าโดยไม่ทราบสาเหตุ
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถป้องกัน ตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรักษาให้หายขาดได้ หากผู้หญิงใส่ใจสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ