15 สัญญาณมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงต้องใส่ใจ

15 สัญญาณมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงต้องใส่ใจ

มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ แม้จะมีการดำเนินโรคอย่างเงียบ ๆ แต่หากรู้เท่าทันสัญญาณเตือนและได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ โอกาสหายสูงมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการเตือน วิธีสังเกต และแนวทางป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก

1. ภาพรวมเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งร้ายแรงที่พบมากในผู้หญิง เป็นรองเพียงมะเร็งเต้านมเท่านั้น โรคนี้เกิดขึ้นเมื่อเซลล์บริเวณปากมดลูกมีการเจริญเติบโตผิดปกติจนควบคุมไม่ได้ และสามารถลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง

จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าในแต่ละปีมีผู้หญิงมากกว่า 600,000 คนทั่วโลกที่ป่วยใหม่ด้วยมะเร็งปากมดลูก และมีผู้เสียชีวิตถึงกว่า 340,000 คน แม้จะอันตราย แต่มะเร็งปากมดลูกถือเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ หากตรวจพบแต่ระยะแรก

สาเหตุหลักของโรคนี้คือการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) โดยเฉพาะสายพันธุ์ HPV-16 และ HPV-18 นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม และภูมิคุ้มกันของร่างกายก็มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรคนี้เช่นกัน

2. ทำไมจึงต้องรู้เท่าทันสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูกแต่เนิ่นๆ?

ในระยะแรกของโรค มะเร็งปากมดลูกมักไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากไม่ทันระวังตัว กว่าจะตรวจพบก็มักอยู่ในระยะที่เซลล์มะเร็งลุกลามไปแล้ว ส่งผลให้การรักษายากและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอและการใส่ใจอาการผิดปกติบริเวณจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้ตรวจพบเซลล์ก่อนเป็นมะเร็งหรือมะเร็งระยะเริ่มต้น เพิ่มโอกาสรักษาหายสูงถึง 90%

3. 15 สัญญาณมะเร็งปากมดลูกที่พบบ่อยที่สุด

3.1. มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ

นี่เป็นสัญญาณแรกๆ ที่พบได้ง่าย ผู้หญิงอาจมีเลือดออกระหว่างรอบเดือน, หลังมีเพศสัมพันธ์, หลังหมดประจำเดือน หรือหลังตรวจภายใน

สาเหตุเกิดจากเซลล์มะเร็งไปทำลายเส้นเลือดฝอยขนาดเล็กที่ปากมดลูก ทำให้มีเลือดออกทีละน้อยแต่เรื้อรัง

มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ

3.2. ประจำเดือนมานานและรอบเดือนผิดปกติ

รอบเดือนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ประจำเดือนมานานกว่า 7 วัน, ปริมาณเลือดมาก, สีเข้มหรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติในมดลูกหรือปากมดลูก

3.3. ตกขาวมีกลิ่นและสีผิดปกติ

ตกขาวออกมากผิดปกติ มีสีเหลือง เขียว น้ำตาล หรือปนเลือด ถือเป็นอาการที่ไม่ควรละเลย เมื่อเซลล์มะเร็งโตขึ้น จะไปทำให้ต่อมผลิตน้ำเมือกทำงานผิดปกติ ตกขาวจึงอาจมีกลิ่นเหม็น กลิ่นคาว หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์แบบต่อเนื่อง

3.4. เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

ก้อนเนื้องอกที่ปากมดลูกอาจทำให้เกิดการอักเสบ บวม หรือมีเลือดออกเมื่อมีการกระทบกระเทือน ส่งผลให้เจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์ หากมีอาการเช่นนี้ซ้ำๆ ควรรีบพบแพทย์

เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

3.5. ปวดท้องน้อยหรือปวดบริเวณเชิงกราน

รู้สึกปวดตื้อๆ บริเวณท้องน้อย หลัง หรือเชิงกราน อาจเป็นสัญญาณว่าเนื้องอกกำลังไปกดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะข้างเคียง

3.6. ปวดหรือปัสสาวะเป็นเลือด

หากมะเร็งลุกลามไปยังกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยจะรู้สึกปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะลำบาก หรือมีเลือดปนในปัสสาวะ ซึ่งเป็นอาการในระยะที่โรคกำลังรุนแรงมากขึ้น

3.7. ท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบากหรือมีเลือด

มะเร็งปากมดลูกอาจกดทับลำไส้ตรง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ปวดท้อง หรือในบางรายอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระ

3.8. ขาบวมหรือปวดร้าวลงต้นขา

เมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง ทำให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ส่งผลให้ขาบวม หรือมีอาการปวดร้าวจากเชิงกรานลงมาต้นขา

3.9. น้ำหนักลดเร็ว เหนื่อยล้า

การเจริญเติบโตของก้อนเนื้องอกทำให้ร่างกายใช้พลังงานมาก ผู้ป่วยจะเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ และมักรู้สึกอ่อนล้า เพลีย หรือมีปัญหานอนไม่หลับตลอดเวลา

3.10. ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง

อาการปวดหลังช่วงล่างมักพบในรายที่มะเร็งลุกลามไปยังเส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อบริเวณเชิงกราน โดยอาการปวดอาจมากขึ้นเมื่อต้องยืนนานหรืองานที่ใช้แรงเยอะ

3.11. ต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือขาหนีบบวม

หากคลำเจอก้อนแข็งที่คอหรือขาหนีบ ไม่เจ็บ อาจเป็นสัญญาณว่าเซลล์มะเร็งเริ่มแพร่กระจาย

3.12. มีตกขาวหรือเลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน

ผู้หญิงหลายคนคิดว่าเมื่อหมดประจำเดือนแล้วไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้ามีตกขาวหรือมีเลือดออกผิดปกติหลังวัยหมดประจำเดือน ควรพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของมะเร็งปากมดลูก

3.13. ตกขาวออกมากและมีฟอง

หากมีตกขาวมากผิดปกติ มีฟอง หรือมีกลิ่นเหม็นคาว อาจชี้ถึงการอักเสบติดเชื้อหรือความผิดปกติที่ปากมดลูกได้

3.14. ภาวะซีด โลหิตจาง

การเสียเลือดเรื้อรังทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก ส่งผลให้เกิดภาวะโลหิตจาง รู้สึกหน้ามืด เวียนศีรษะ และอ่อนเพลียง่าย

3.15. ตัวร้อนหรือมีไข้ต่ำ เหงื่อออกตอนกลางคืน

นี่เป็นอาการที่เกิดร่วมกับโรคมะเร็งหลายชนิด รวมถึงมะเร็งปากมดลูกด้วย

4. ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก

  • มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย (ก่อน 18 ปี)
  • มีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนมีประวัติความสัมพันธ์ซับซ้อน
  • คลอดลูกหลายครั้ง หรือคลอดลูกตั้งแต่อายุยังน้อย
  • สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
  • ภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือมีโรคเรื้อรัง)
  • ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกัน HPV
  • ไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองทางนรีเวชสม่ำเสมอ

5. วิธีวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก

เพื่อวินิจฉัยโรคนี้อย่างแม่นยำ แพทย์จะใช้หลายวิธีประกอบกัน ได้แก่

  • การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear): ตรวจหาเซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูก
  • การตรวจ DNA ของเชื้อ HPV: เพื่อดูว่าเป็นสายพันธุ์เสี่ยงสูงหรือไม่
  • การส่องกล้องตรวจปากมดลูกและตัดชิ้นเนื้อ: เพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อไปตรวจวินิจฉัย
  • อัลตราซาวด์, MRI หรือ CT scan: เพื่อประเมินการลุกลามและการแพร่กระจายของโรค

6. มะเร็งปากมดลูกรักษาหายได้หรือไม่?

หากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก (ระยะที่ 1) อัตราการรอดชีวิต 5 ปีสูงถึง 90–95%

แต่ถ้าเข้าสู่ระยะที่ 2 อัตรานี้จะลดเหลือประมาณ 60–70%

ในกรณีที่โรคกระจายไกล (ระยะที่ 4) อัตราการรอดชีวิต 5 ปีเหลือเพียง 15–20%

ดังนั้น การตรวจคัดกรองสม่ำเสมอและการรู้เท่าทันอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญที่เพิ่มโอกาสหายขาดจากโรค

7. การป้องกันมะเร็งปากมดลูกอย่างมีประสิทธิภาพ

7.1. การฉีดวัคซีน HPV

การฉีดวัคซีน HPV ตั้งแต่อายุน้อยจะช่วยป้องกันเชื้อ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง (อย่าง HPV-16, 18, 31, 33, 45 ฯลฯ)

  • ควรฉีดในช่วงอายุ 9–26 ปีเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
  • แม้เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่อาจได้ประสิทธิภาพการป้องกันน้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์

7.2. ตรวจภายในเป็นประจำ

การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) ทุก 6–12 เดือนจะช่วยตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ได้ตั้งแต่ระยะแรก สำหรับผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจ DNA ของเชื้อ HPV เพิ่มเติมร่วมด้วย

7.3. ปรับพฤติกรรมใช้ชีวิตให้เหมาะสม

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
  • รับประทานผัก ผลไม้ วิตามินซี และวิตามินอีให้เพียงพอ
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย และควรมีคู่อย่างเดียว

8. เมื่อใดควรพบแพทย์ทันที?

ควรรีบไปพบแพทย์ตามสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ หากมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 1 ข้อ

  • มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ
  • เจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวมีกลิ่นเหม็นหรือปนเลือด
  • ปวดท้องน้อยหรือปวดเชิงกรานเรื้อรัง
  • น้ำหนักลดรวดเร็ว เหนื่อยล้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถป้องกัน ตรวจพบแต่เนิ่นๆ และรักษาให้หายขาดได้ หากผู้หญิงใส่ใจสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอนะคะ