มะเร็งปากมดลูกนับเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่น่ากังวลสำหรับผู้หญิงไทยมายาวนาน ไม่เพียงแต่พบบ่อย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สภาพจิตใจ และภาระทางเศรษฐกิจทั้งในครอบครัวและสังคม แม้อัตราการป่วยจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่างานด้านการค้นหาและป้องกันล่วงหน้ายังคงต้องได้รับความใส่ใจมากกว่านี้ ในบริบทดังกล่าว การฉีดวัคซีน HPV กำลังกลายเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปกป้องผู้หญิง และยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยเข้าใกล้เป้าหมายการกำจัดมะเร็งปากมดลูกภายในปี 2030 ตามที่ WHO กำหนด
1. สถานการณ์มะเร็งปากมดลูกในประเทศไทย
ตามสถิติทางการแพทย์ พบว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองในผู้หญิงไทยที่ยังมีชีวิตอยู่ ในแง่ของอุบัติการณ์ แม้อัตราการป่วยจะลดลงจาก 18.1% เหลือ 10.3% ต่อประชากรหญิง 100,000 คน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตกลับเพิ่มขึ้นจาก 5.9% เป็น 6.8% ต่อประชากรหญิง 100,000 คน
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงไทยส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออยู่ในระยะโรครุนแรงแล้ว ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้นและลดประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสุขภาพ
2. ไวรัส HPV และความเชื่อมโยงกับมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่มีสาเหตุหลักจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่ติดต่อได้ง่ายทางเพศสัมพันธ์และพบได้บ่อยในสังคม
โดยพบว่า HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกกว่า 70% ของผู้ป่วยทั้งหมด อันตรายก็คือการติดเชื้อ HPV มักไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้ผู้หญิงหลายคนไม่ทันระวังตัว จนกว่ามะเร็งจะลุกลามเข้าสู่ระยะที่รักษายาก
3. วัคซีน HPV – ทางเลือกป้องกันที่มีประสิทธิภาพ
วงการสาธารณสุขยืนยันว่า การฉีดวัคซีน HPV เป็นวิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน วัคซีนจะช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ HPV ที่เป็นอันตราย ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งปากมดลูก
กลุ่มเป้าหมายที่ควรรับวัคซีน ได้แก่:
- เด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี – อยู่ในช่วงที่ร่างกายยังไม่สัมผัสเชื้อ HPV จึงให้ผลป้องกันเกือบ 100%
- หญิงสาวและชายหนุ่ม – ก็ได้รับคำแนะนำให้ฉีด เพื่อลดการแพร่ระบาดของ HPV ในชุมชน
4. กลยุทธ์การฉีดวัคซีน HPV
เพื่อควบคุมและกำจัดมะเร็งปากมดลูก ประเทศไทยได้ดำเนินโครงการฉีดวัคซีน HPV ให้ฟรีสำหรับเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปีตามจังหวัดต่าง ๆ พร้อมกันนั้น รัฐบาลก็ผลักดันการประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมให้ผู้หญิงวัยผู้ใหญ่เข้ารับการตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอ

WHO ตั้งเป้าหมายภายในปี 2030
- เด็กหญิง 90% ได้รับวัคซีน HPV ครบ 2 เข็มก่อนอายุ 15 ปี
- ผู้หญิง 70% ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต
- ผู้หญิง 90% ที่ตรวจพบมะเร็งปากมดลูกได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
นี่จึงเป็นเส้นทางสำหรับประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ในการกำจัดโรคมะเร็งปากมดลูกในอนาคต
5. ข้อแนะนำสำหรับผู้หญิงและชุมชน
เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากมะเร็งปากมดลูก ผู้หญิงไทยโดยเฉพาะ รวมถึงทั่วโลกควร:
- เข้ารับการฉีดวัคซีน HPV โดยเร็วที่สุด
- ตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ
- ส่งเสริมความรู้ในชุมชน ให้ผู้คนเห็นความสำคัญของวัคซีนและการคัดกรอง
6. คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกและวัคซีน HPV
6.1 มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?
มะเร็งปากมดลูก คือภาวะที่เซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและควบคุมไม่ได้จนกลายเป็นมะเร็ง สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 และ 18
6.2 ไวรัส HPV ติดต่อกันอย่างไร?
HPV ติดต่อหลัก ๆ ผ่านทางเพศสัมพันธ์ แม้จะไม่มีอาการหรือสัญญาณใด ๆ ก็ตาม และบางกรณีอาจติดต่อจากการสัมผัสผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ

6.3 วัคซีน HPV มีประโยชน์อะไร?
วัคซีน HPV ช่วยกระตุ้นร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต้านไวรัส HPV ที่มีความเสี่ยงสูง ลดโอกาสเกิดมะเร็งปากมดลูก และโรคอื่น ๆ เช่น หูดที่อวัยวะเพศ
6.4 ใครควรได้รับวัคซีน HPV?
- เด็กหญิงอายุ 9–15 ปี (ให้ผลดีที่สุด)
- หญิงสาวที่ยังไม่เคยได้รับเชื้อ HPV โดยเฉพาะก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์
- ชายวัยรุ่นก็ได้รับคำแนะนำให้ฉีด เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อ
มะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ หากทุกคนร่วมมือกันแสดงความใส่ใจสุขภาพและรับบริการทางการแพทย์อย่างทันท่วงที วัคซีน HPV คือ “เกราะป้องกัน” สำหรับผู้หญิงไทย และยังเป็นกุญแจสำคัญสู่เป้าหมายระดับโลกในการขจัดมะเร็งปากมดลูกภายในปี 2030 ตามแผนของ WHO

 
	
 
  							  							  						 
  							  							  						