โรคปากมดลูกอักเสบ: สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษา

โรคปากมดลูกอักเสบ

โรคปากมดลูกอักเสบ เป็นหนึ่งในโรคทางนรีเวชที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โรคนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดอาการตกขาวผิดปกติ ปวดแสบ และไม่สบายตัวเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น การเข้าใจถึงสาเหตุ สัญญาณอาการ และแนวทางการรักษาโรคปากมดลูกอักเสบอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ผู้หญิงสามารถป้องกัน ดูแลสุขภาพเจริญพันธุ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยค่ะ

1.โรคปากมดลูกอักเสบคืออะไร?

โรคปากมดลูกอักเสบ คือภาวะที่เซลล์ต่อมบริเวณปากมดลูกมีการเจริญเติบโตเกินปกติ ลุกลามออกมายังผิวด้านนอกของปากมดลูกและสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น เมื่อมีการปนเปื้อนกับเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิต ก็จะเกิดภาวะอักเสบตามมา

แม้โรคนี้จะจัดว่าเป็นโรคชนิดไม่ร้ายแรง แต่มีแนวโน้มกลับมาเป็นซ้ำง่าย ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน และยังอาจกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์หากไม่ได้รับการรักษาและควบคุมอย่างเหมาะสม

2. สาเหตุของโรคปากมดลูกอักเสบ

ความผิดปกติของฮอร์โมนในสตรี - เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกปลิ้น
ความผิดปกติของฮอร์โมนในสตรี – เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกปลิ้น

สาเหตุที่พบได้บ่อยของโรคปากมดลูกอักเสบ ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย หรือมีเพศสัมพันธ์รุนแรง ส่งผลให้เยื่อบุปากมดลูกได้รับบาดเจ็บ
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน
  • การดูแลความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศไม่ถูกวิธี หรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารเคมีแรงเกินไป
  • การตั้งครรภ์คลอดบุตรบ่อย หรือการทำแท้ง อาจทำให้โครงสร้างปากมดลูกเปลี่ยนแปลง
  • ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ ทำให้แบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโตได้ง่าย

3. อาการของโรคปากมดลูกอักเสบ

ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค โรคปากมดลูกอักเสบสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยแต่ละระดับจะมีอาการแตกต่างกันดังนี้

อาการของโรคปากมดลูกอักเสบ
อาการของโรคปากมดลูกอักเสบ

3.1 โรคปากมดลูกอักเสบระดับที่ 1

  • พื้นที่ที่เกิดการอักเสบ < 1/3 ของผิวปากมดลูก
  • มีตกขาวมากกว่าปกติ ลักษณะเหลวใส อาจมีกลิ่นเหม็นอ่อนๆ
  • รู้สึกคันหรือแสบในช่องคลอด

3.2 โรคปากมดลูกอักเสบระดับที่ 2

  • พื้นที่ที่เกิดการอักเสบ 1/3 – 2/3 ของปากมดลูก
  • ตกขาวมีลักษณะข้น สีเหลืองหรือสีเขียว มีกลิ่นเหม็นชัดเจน
  • รู้สึกแสบหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ

3.3 โรคปากมดลูกอักเสบระดับที่ 3

  • พื้นที่ที่เกิดการอักเสบ > 2/3 ของปากมดลูก
  • ตกขาวมาก กลิ่นเหม็นรุนแรง อาจมีหนองปน
  • ปวดท้องน้อย ปัสสาวะขัด หรือมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
  • มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง และอาจกระทบต่อภาวะเจริญพันธุ์

4. โรคปากมดลูกอักเสบอันตรายหรือไม่?

หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง โรคปากมดลูกอักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงหลายประการ เช่น

  • ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต: การมีตกขาวมาก กลิ่นไม่พึงประสงค์ และอาการคันแสบในช่องคลอด อาจทำให้สูญเสียความมั่นใจและลดคุณภาพชีวิตประจำวัน
  • ลดความต้องการทางเพศและความสุขในชีวิตคู่: ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ไม่กล้าใกล้ชิดกับคู่ครอง กระทบต่อความสัมพันธ์และชีวิตสมรส
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางนรีเวชอื่น ๆ: ตกขาวที่มากขึ้นจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อโรค เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และปรสิต อาจนำไปสู่โรคอื่น ๆ เช่น ช่องคลอดอักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
  • เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก: ภาวะอักเสบและการเปลี่ยนแปลงค่า pH ในช่องคลอดอาจขัดขวางการพบกันของไข่และอสุจิ ลดโอกาสในการตั้งครรภ์ และอาจลุกลามไปยังรังไข่และท่อนำไข่ ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากหรือเป็นหมัน
  • เสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก: หากปล่อยไว้นานและเป็นซ้ำหลายครั้ง อาจเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนแปลงเซลล์จนเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งนรีเวชที่คร่าชีวิตผู้หญิงมากที่สุด
  • เสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดในหญิงตั้งครรภ์: การเป็นโรคนี้ระหว่างตั้งครรภ์เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด และส่งผลต่อสุขภาพของทารกในครรภ์

ดังนั้น เมื่อมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่ามีโรคนี้ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาทันที ก่อนที่โรคจะรุนแรงมากขึ้น

ภาวะปากมดลูกปลิ้นสามารถลุกลามกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้
ภาวะปากมดลูกปลิ้นสามารถลุกลามกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้

5. การป้องกันและรักษาโรคปากมดลูกอักเสบ

5.1 วิธีป้องกัน

รักษาความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้นให้ถูกสุขลักษณะ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดลึก

มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและมีคู่ครองเพียงคนเดียว

หลีกเลี่ยงการทำแท้งบ่อย ๆ และเข้ารับการตรวจสุขภาพนรีเวชอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อ

5.2 การรักษาโรคปากมดลูกอักเสบ

การรักษาด้วยยา: ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบตามคำแนะนำของแพทย์

การรักษาด้วยหัตถการ: เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า การจี้เย็น เลเซอร์ หรือการรักษาด้วยมีด LEEP กรณีมีอาการรุนแรง

การเสริมด้วยสมุนไพร: สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เสริมจากธรรมชาติ เช่น Lardy Green ควบคู่ไปกับวิธีรักษาหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟู

5.3 Lardy Green – ทางเลือกสมุนไพรเพื่อดูแลสุขภาพผู้หญิง

Lardy Green ผสานพลังจากส่วนผสมธรรมชาติ เช่น ฮ็อพ, งาดำ, ต้นถั่วเหลือง, ตังกุย, สาหร่ายสไปรูลิน่า และขมิ้นชัน ให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมในหลายด้าน

  • ต้านการอักเสบ: ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ด้วยสารสำคัญจากฮ็อพ ขมิ้นชัน และสาหร่ายสไปรูลิน่า
  • ปรับสมดุลฮอร์โมนหญิง: ลดปัญหาแห้งและตกขาวผิดปกติ ด้วยสาร isoflavone จากต้นถั่วเหลือง
  • เพิ่มภูมิคุ้มกันและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ: ด้วยตังกุย งาดำ และสาหร่ายสไปรูลิน่า
Lardy Green - ต้านการอักเสบ: ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ด้วยสารสำคัญจากฮ็อพ ขมิ้นชัน และสาหร่ายสไปรูลิน่า
ต้านการอักเสบ: ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค ด้วยสารสำคัญจากฮ็อพ ขมิ้นชัน และสาหร่ายสไปรูลิน่า

จากนั้น ให้ผลลัพธ์ที่ดีมากๆ สำหรับร่างกาย:

  • ลดอาการตกขาว คัน หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์บริเวณจุดซ่อนเร้น
  • ช่วยปรับสมดุล pH ในช่องคลอด รักษาสมดุลแบคทีเรียที่ดี
  • เสริมฮอร์โมนหญิง แก้ไขภาวะแห้งช่วงวัยทอง
  • ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และดูแลสุขภาพเจริญพันธุ์

ด้วยวัตถุดิบนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา และได้รับการรับรองโดย อย. ประเทศไทย Lardy Green เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังป้องกันและดูแลปัญหาโรคปากมดลูกอักเสบ

อย่าปล่อยให้โรคปากมดลูกอักเสบกระทบสุขภาพและชีวิตคู่เลยนะคะ เริ่มดูแลสุขภาพผู้หญิงอย่างครบวงจรกับ Lardy Green – ตัวช่วยสมุนไพรปลอดภัยและเห็นผลจริงตั้งแต่วันนี้เลย

สั่งซื้อได้เลยค่ะ