โรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 เป็นระยะเริ่มต้นของโรคปากมดลูกอักเสบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรคที่พบบ่อยในกลุ่มผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ แม้ในระยะนี้ยังไม่รุนแรงมาก แต่หากละเลยอาจทำให้โรคลุกลาม อันตรายต่อสุขภาพเจริญพันธุ์ เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก หรือแม้กระทั่งมะเร็งปากมดลูก
แล้วโรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และรักษาได้อย่างไร? มาทำความเข้าใจโดยละเอียดในบทความนี้กันค่ะ
1. โรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 คืออะไร?
เยื่อบุปากมดลูกอักเสบ เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เยื่อบุภายในปากมดลูกเจริญเติบโตลุกลามออกมาบริเวณภายนอกปากมดลูก และสัมผัสโดยตรงกับสภาพแวดล้อมในช่องคลอด ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิตได้ง่ายขึ้น
หากอยู่ในระดับที่ 1 พื้นที่ของเยื่อบุที่ลุกลามจะกินพื้นที่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของผิวปากมดลูก อาการในช่วงแรกมักจะไม่ชัดเจน ผู้หญิงหลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีภาวะนี้ อย่างไรก็ตาม อาจพบอาการบางอย่าง เช่น
- ตกขาวออกมากผิดปกติ เหลว หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์
- บริเวณจุดซ่อนเร้นเปียกชื้น คันง่าย
- บางครั้งมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์
แม้จะเป็นแค่ระยะเริ่มต้นหรืออาการไม่รุนแรง แต่ถ้าไม่ได้รับการตรวจหรือรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ โรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระดับ 1 ก็สามารถลุกลามไปถึงระดับ 2 หรือ 3 และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมากขึ้นได้
2. สาเหตุของการเกิดโรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1

อาการโรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย โดยที่พบได้บ่อยคือ:
- ดูแลความสะอาดจุดซ่อนเร้นไม่ถูกวิธี: เช่น การสวนล้างลึก การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อน หรือการทำความสะอาดน้อยเกินไป ทำให้สมดุลในช่องคลอดเสียไปและเชื้อโรคเติบโตได้ง่าย
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: เสี่ยงติดโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน เริม HPV หูด ฯลฯ ส่งผลให้ปากมดลูกเกิดการบาดเจ็บ
- การขูดมดลูกหรือหัตถการทางนรีเวช: หากทำในสถานที่ที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีความปลอดเชื้อ อาจทำให้เกิดการอักเสบและเซลล์ปากมดลูกถูกกัดกร่อน
- ฮอร์โมนผิดปกติ: ระดับเอสโตรเจนสูงผิดปกติ ทำให้มีเมือกช่องคลอดจำนวนมาก ส่งผลต่อการเกิดภาวะล่อแหลมและอักเสบ
- ภูมิคุ้มกันต่ำ: ร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรค แบคทีเรีย เชื้อรา และปรสิตจึงเข้าโจมตีอวัยวะสืบพันธุ์ได้ง่าย
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยเฉพาะคนที่เคยคลอดบุตรหรือแท้งหลายครั้ง หรือมีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยง จะมีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไป
3. โรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 อันตรายไหม?
ในระยะที่ 1 แผลอักเสบจะยังเล็ก และยังไม่ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษา ก็อาจเกิดผลกระทบในด้านลบต่างๆ ดังนี้
3.1. กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ตกขาวออกมาก มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้รู้สึกชื้นและขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม บางรายอาจรู้สึกคัน ปวดท้องน้อย หรือปัสสาวะลำบาก สร้างความรำคาญใจต่อการทำงานและใช้ชีวิต
3.2. กระทบต่อชีวิตคู่และสุขภาพทางเพศ
ผู้หญิงที่มีปากมดลูกอักเสบมักจะมีอาการเจ็บหรือมีเลือดออกระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เกิดความไม่สบายใจ กังวล ส่งผลให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์และอาจลดความสุขในชีวิตคู่
3.3. ส่งผลต่อการตั้งครรภ์

ภาวะอักเสบในช่องคลอดและการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในช่องคลอด ทำให้เชื้ออสุจิอยู่รอดและเคลื่อนตัวไปพบไข่ได้ยากขึ้น นอกจากนี้เมือกในช่องคลอดที่มากเกินไปยังมีเม็ดเลือดขาว ซึ่งอาจทำลายอสุจิได้ จึงทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง หากโรคลุกลามอาจนำไปสู่การอักเสบของท่อนำไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก และเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากหรือเป็นหมันได้
4. วิธีรักษาโรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 เป็นอย่างไร?
ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและสุขภาพของแต่ละคน แพทย์จะเลือกวิธีรักษาให้เหมาะสม ได้แก่
- การรักษาด้วยยา: ส่วนใหญ่จะใช้ยาเหน็บช่องคลอดร่วมกับยาต้านอักเสบและยาปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมเชื้อโรค ลดตกขาวและกลิ่นไม่พึงประสงค์ วิธีนี้นิยมใช้สำหรับผู้ป่วยระยะที่ 1
- การรักษาด้วยหัตถการ: หากโรคมีการลุกลามหรือกลับมาเป็นซ้ำบ่อย แพทย์อาจเลือกใช้วิธีจี้ไฟฟ้า, การแช่เย็น, เลเซอร์ หรือคลื่นความถี่สูง เพื่อกำจัดเซลล์ผิดปกติในปากมดลูก
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ควรดูแลความสะอาดของจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธี, งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ผ่านมา, รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย
- นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Lardy Green ที่ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และช่วยทำความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้นจากตกขาว แบคทีเรีย เชื้อรา ให้กลับมาสะอาด สดชื่น แข็งแรง ผลิตภัณฑ์นี้สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เช่น ฮ็อปส์, งาดำ, ถั่วเหลือง, ตังกุย, สาหร่ายสไปรูลิน่า ฯลฯ ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจาก อย. ไทยมาแล้ว

โรคเยื่อบุปากมดลูกอักเสบระยะที่ 1 สามารถควบคุมและรักษาได้ หากตรวจพบเร็วและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนั้นสาวๆ ควรตรวจภายในเป็นประจำเพื่อดูแลสุขภาพเจริญพันธุ์ของตัวเองค่ะ