11 โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยและอันตรายที่สุดในปัจจุบัน

โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยในผู้หญิง

โรคทางนรีเวชกลายเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยขึ้นในผู้หญิง เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น สภาพแวดล้อม พฤติกรรมการใช้ชีวิต,ฮอร์โมน และการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที โรคหลายชนิดอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยาก ส่งผลกระทบต่อชีวิตคู่ หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายถึงชีวิต บทความนี้ได้รวบรวม 11 โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยที่สุด เพื่อช่วยให้คุณสังเกตอาการ และป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพนะคะ

1. โรคทางนรีเวชคืออะไร?

โรคทางนรีเวช คือปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิง เช่น ช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก รังไข่ ท่อนำไข่ และอุ้งเชิงกราน โรคเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกช่วงวัย แต่จะพบบ่อยเป็นพิเศษในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์

สาเหตุของโรคอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่ไม่ถูกวิธี การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ความผิดปกติของฮอร์โมน ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังคลอด หรือช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน สิ่งที่น่ากังวลคือ โรคหลายชนิดมักมีการลุกลามอย่างเงียบๆ โดยที่ผู้หญิงไม่ทันสังเกตเห็น ซึ่งหากไม่ตรวจพบแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์และคุณภาพชีวิตได้

2. 11 โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยในผู้หญิง

ต่อไปนี้คือ 11 โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิง:

2.1. การอักเสบติดเชื้อในระบบสืบพันธุ์

คือภาวะการอักเสบติดเชื้อที่บริเวณช่องคลอด ปากช่องคลอด ปากมดลูก มดลูก หรือท่อนำไข่ สาเหตุมักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อพยาธิในช่องคลอด หรือเกิดจากความไม่สมดุลของระบบนิเวศจุลินทรีย์

สัญญาณเตือน: คันระคายเคือง ตกขาวเยอะผิดปกติ ปวดท้องน้อย มีกลิ่นเหม็นรุนแรง

โรคทางนรีเวชหากปล่อยทิ้งไว้นาน การติดเชื้ออาจลุกลามกลายเป็นการอักเสบในอุ้งเชิงกราน และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก

2.2. เนื้องอกมดลูก

คือเนื้องอกชนิดไม่อันตราย ที่เกิดจากชั้นกล้ามเนื้อมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 30–50 ปี

สัญญาณเตือน: ประจำเดือนมามากหรือกะปริดกะปรอย ปวดหน่วงท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน ปัสสาวะผิดปกติ เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

แม้จะเป็นเนื้องอกไม่อันตราย แต่หากก้อนเนื้อโตขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะซีด หรือไปกดทับอวัยวะข้างเคียง และส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้หากไม่ได้รับการรักษา

2.3. ถุงน้ำในรังไข่ / ซีสต์ที่รังไข่

คือถุงที่มีของเหลวบรรจุอยู่ภายใน หรือเกิดขึ้นบนพื้นผิวของรังไข่ ซีสต์ขนาดเล็กบางชนิดสามารถยุบหายไปเองได้ แต่ซีสต์ที่มีลักษณะผิดปกติจำเป็นต้องได้รับการรักษา

สัญญาณเตือน: ปวดท้องน้อยแบบหน่วงๆ เป็นๆ หายๆ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ท้องอืด รู้สึกแน่นท้อง

ซีสต์ที่มีขนาดใหญ่อาจเสี่ยงต่อการบิดขั้วหรือแตกออก ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลันและต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน

2.4. ภาวะปากมดลูกปลิ้นและอักเสบ

ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อเซลล์เยื่อบุภายในปากมดลูกเจริญยื่นออกมาด้านนอกและเกิดการอักเสบ พบบ่อยในผู้หญิงที่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว

อาการ: ตกขาวเยอะ มีกลิ่นเหม็น รู้สึกอับชื้นที่จุดซ่อนเร้น และเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์

แม้จะไม่อันตรายโดยตรง แต่หากปล่อยให้อักเสบเรื้อรัง อาจนำไปสู่การติดเชื้อลุกลามเข้าสู่มดลูก และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการมีบุตรได้

2.5. ติ่งเนื้อที่ปากมดลูก

คือเนื้องอกขนาดเล็ก นิ่ม ที่งอกออกมาบริเวณปากมดลูก ส่วนใหญ่เป็นเนื้องอกชนิดไม่อันตราย แต่อาจทำให้เกิดเลือดออกผิดปกติได้

สัญญาณเตือน: มีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ตกขาวเพิ่มมากขึ้น หรือประจำเดือนมานานผิดปกติ

หากติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ ควรตัดออกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือการกลับมาเป็นซ้ำ

2.6. มะเร็งปากมดลูก

เป็นโรคทางนรีเวชที่อันตรายเป็นอันดับต้นๆ สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง

อาการ: ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่ระยะต่อมาอาจมีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน และน้ำหนักลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

การป้องกัน: การตรวจคัดกรองด้วยวิธี Pap smear และ HPV test เป็นวิธีที่ช่วยให้ตรวจพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และรักษาได้ทันท่วงที

2.7. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

เกิดขึ้นเมื่อเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตอยู่นอกมดลูก (เช่น ที่รังไข่ ลำไส้ หรือเยื่อบุช่องท้อง)

อาการเด่นชัด: ปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง, เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์, ประจำเดือนมามากหรือมานาน

อาจทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีลูกยาก

2.8. ความผิดปกติของอุ้งเชิงกราน

ได้แก่ ภาวะมดลูกหย่อน, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง มักพบในหญิงหลังคลอด วัยกลางคน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน

สัญญาณเตือน: รู้สึกหน่วงๆ ที่ช่องคลอด ปัสสาวะเล็ด/กลั้นไม่อยู่ ปวดบริเวณท้องน้อยส่วนล่าง

การรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตและลดภาวะแทรกซ้อนได้

2.9. ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

เป็นความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ ถือเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของภาวะมีบุตรยากในหญิงอายุน้อย

อาการ: ประจำเดือนมาไม่ปกติ เป็นสิว ผมร่วง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นง่าย มีลูกยาก

แนวทางการรักษา: ปัจจุบันเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตควบคู่กับการรักษาด้วยยาปรับฮอร์โมน

2.10. ท่อนำไข่อุดตัน

เกิดจากการติดเชื้ออักเสบ การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย หรือการอักเสบในอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง

สัญญาณเตือน: ปวดท้องน้อย มีลูกยาก

หากท่อนำไข่อุดตัน จะลดโอกาสในการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ

2.11. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs)

กลุ่มโรคนี้ได้แก่ หนองใน, ซิฟิลิส, HPV, เริม (HSV), หนองในเทียม (Chlamydia),… ซึ่งมักติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน

อาการ: ตกขาวผิดปกติ มีแผลหรือตุ่มที่จุดซ่อนเร้น แสบขัดเวลาปัสสาวะ มีไข้ คันระคายเคือง

โรคหลายชนิดมักไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากไม่รักษาอาจนำไปสู่การอักเสบรุนแรง หรือกลายเป็นมะเร็งได้

3. การป้องกันโรคทางนรีเวชที่อันตราย

แม้ว่าโรคทางนรีเวชจะเป็นเรื่องที่พบบ่อย แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้หากดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี ด้านล่างนี้คือมาตรการง่ายๆ แต่ได้ผลจริงในการปกป้องจุดซ่อนเร้นและรักษาสุขภาพระบบสืบพันธุ์

3.1 การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี

  • ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
  • หากตรวจพบโรค ต้องรักษาพร้อมกันทั้งสองฝ่าย

การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกัน STDs แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางนรีเวชซ้ำซากได้อีกด้วย

3.2 การทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นอย่างถูกวิธี

  • ล้างจุดซ่อนเร้นทุกวันด้วยน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่เหมาะสม
  • เปลี่ยนกางเกงในสม่ำเสมอ ควรเลือกใช้เนื้อผ้าฝ้ายเป็นหลัก
  • ดูแลจุดซ่อนเร้นให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอในช่วงที่มีประจำเดือน

3.3 โภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะสม

  • เน้นทานผักใบเขียว ผลไม้ และอาหารที่อุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน
  • จำกัดของทอด น้ำตาล และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอวันละ 30 นาที เพื่อช่วยรักษาสมดุลฮอร์โมน

3.4 การตรวจภายในเป็นประจำ

ควรตรวจอย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน เพื่อเช็คสุขภาพระบบสืบพันธุ์และตรวจหาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ การตรวจที่สำคัญได้แก่: อัลตราซาวด์ทางนรีเวช ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (Pap smear) ตรวจหาเชื้อ HPV และการตรวจวิเคราะห์ตกขาว

การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกจะทำให้รักษาง่าย ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

โรคทางนรีเวชอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพและความสามารถในการมีบุตร หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ การมีความรู้ การหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนของร่างกาย และการตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณป้องกันและรับมือกับความผิดปกติได้ทันท่วงที โปรดให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพภายในของผู้หญิงในทุกๆ วัน เพื่อปกป้องตัวคุณเองและเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านะคะ