อาการปวดท้องน้อย เป็นภาวะที่ผู้หญิงส่วนใหญ่มักต้องเจออย่างน้อยสักครั้งในชีวิต อย่างไรก็ตาม หลายคนมักมองข้ามอาการปวดนี้ไป เพราะคิดว่าเป็นเพียงอาการทางสรีรวิทยาปกติ เช่น ปวดประจำเดือน หรืออาการปวดตึงช่วงไข่ตก แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิง อาจเป็นสัญญาณเตือนของ โรคทางนรีเวชที่อันตราย ได้หลายชนิด โดยเฉพาะหากมีอาการปวดเรื้อรัง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
ดังนั้น การทำความเข้าใจสาเหตุ สัญญาณเตือน และการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการปกป้องสุขภาพระบบสืบพันธุ์ บทความนี้จะช่วยให้คุณสังเกตอาการได้ถูกต้องและรู้วิธีรับมือได้อย่างเหมาะสมค่ะ
1. อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงคืออะไร?
อาการปวดท้องน้อย คือภาวะที่มีความรู้สึกปวดหน่วงๆ ปวดจี๊ด ปวดร้าวไปถึงหลัง หรือปวดเกร็งบริเวณต่ำกว่าสะดือลงมา อาการปวดอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่, กินเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือปวดต่อเนื่องหลายวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ
สาเหตุทางสรีรวิทยาที่พบบ่อย ได้แก่:
- ปวดประจำเดือน: ปวดตามรอบเดือน มักมีลักษณะปวดหน่วงๆ หรือปวดเกร็ง
- การตกไข่: ปวดเล็กน้อยที่ท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง กินเวลาไม่กี่ชั่วโมงถึง 1–2 วัน
- กล้ามเนื้อหน้าท้องตึงตัว: มักเกิดจากการออกกำลังกายหนัก หรือผิดท่า
สาเหตุเหล่านี้ส่วนใหญ่มักไม่อันตรายและอาการจะดีขึ้นเอง อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดเรื้อรังผิดปกติ หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
2. สัญญาณเตือนอาการปวดท้องน้อยที่ผิดปกติ
ไม่ใช่ทุกอาการปวดจะเป็นโรคเสมอไป แต่หากคุณพบสัญญาณดังต่อไปนี้ อาจเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงปัญหาทางนรีเวช:

- ปวดต่อเนื่องนานกว่า 3–5 วัน โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
- ปวดร่วมกับมี ตกขาวผิดปกติ: สีเหลือง เขียว น้ำตาล หรือมีกลิ่นเหม็น
- เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปวดหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- ปวดร่วมกับมีไข้ หรือคลื่นไส้อาเจียน
- มีความผิดปกติของรอบเดือน: ประจำเดือนมามาก มาน้อย ประจำเดือนขาด หรือมากะปริดกะปรอย
- ปวดเจาะจงเฉพาะข้างใดข้างหนึ่งของท้องน้อย
หากพบอาการเหล่านี้ ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามรุนแรงขึ้น
3. สาเหตุของอาการปวดท้องน้อย – สัญญาณเตือนโรคทางนรีเวชที่อันตราย
โรคทางนรีเวชที่พบบ่อยและอาจเป็นต้นเหตุของอาการปวดท้องน้อย มีดังนี้:
3.1. ช่องคลอดอักเสบ – ปากมดลูกอักเสบ
คือภาวะติดเชื้อจากแบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิต ทำให้เกิดการอักเสบบริเวณจุดซ่อนเร้น
อาการ:
- ปวดหน่วงๆ บริเวณท้องน้อย
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็น สีเหลืองหรือเขียว
- คันระคายเคืองบริเวณจุดซ่อนเร้น
- เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
หากไม่รักษา การอักเสบอาจลุกลามขึ้นไปสู่มดลูกและรังไข่ได้
3.2. การอักเสบในอุ้งเชิงกราน (PID)
เป็นการติดเชื้อรุนแรงที่เกิดขึ้นที่มดลูก, ท่อนำไข่ หรือรังไข่
สัญญาณเตือน:
- ปวดท้องน้อยต่อเนื่อง
- มีไข้ต่ำๆ
- อ่อนเพลีย
- ตกขาวผิดปกติ
ข้อควรระวัง: โรคนี้อาจทำให้ท่อนำไข่อุดตัน เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก จึงควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
3.3. เนื้องอกมดลูก
ก้อนเนื้อชนิดไม่อันตรายที่เกิดขึ้นในผนังมดลูก มักพบในผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป
อาการ:
- ปวดหน่วงท้องน้อยเรื้อรัง
- ประจำเดือนมามากผิดปกติ
- ปัสสาวะบ่อยเนื่องจากก้อนเนื้องอกไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ
การดูแล: เนื้องอกขนาดเล็กสามารถเฝ้าติดตามอาการได้ แต่หากมีขนาดใหญ่ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการรักษา
3.4. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปเจริญเติบโตผิดตำแหน่ง เช่น ที่รังไข่ หรือผนังช่องท้อง

สัญญาณเตือนสำคัญ:
- ปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง
- ปวดร้าวลงไปที่หลัง
- อาจทำให้มีลูกยาก
ข้อควรระวัง: เป็นโรคเรื้อรังที่อาการปวดมักจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
3.5. ซีสต์รังไข่
ซีสต์อาจโตขึ้นอย่างเงียบๆ โดยไม่มีอาการ แต่หากซีสต์มีขนาดใหญ่ หรือเกิดการบิดขั้ว จะทำให้เกิดอาการ:
- ปวดท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่ง
- ปวดรุนแรงแบบเฉียบพลัน
- คลื่นไส้อาเจียน
- หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ
รังไข่บิดขั้ว ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องรีบรักษาทันที
3.6. ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก
ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่งอกขึ้นภายในโพรงมดลูก
อาการ:
- ปวดท้องน้อยเล็กน้อยแต่เป็นต่อเนื่อง
- มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน
การรักษา: แพทย์มักแนะนำให้ตัดออกหากมีเลือดออกหรือส่งผลกระทบต่อการมีบุตร
3.7. สาเหตุอื่นๆ ที่อาจพบได้
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก (เป็นภาวะอันตรายถึงชีวิต ต้องรับการรักษาฉุกเฉินทันที)
หากคุณสงสัยว่าตนเองอาจมีสาเหตุมาจากโรคเหล่านี้ การไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
4. ปวดท้องน้อยแบบไหนที่ต้องรีบไปหาหมอ?
คุณควรรีบไปสถานพยาบาลทันที หากมีสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้:

- ปวดท้องน้อยอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน
- ปวดร่วมกับมีเลือดออกทางช่องคลอด
- มีไข้สูง, คลื่นไส้ อาเจียน
- ลักษณะของตกขาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน
- เจ็บมากขณะมีเพศสัมพันธ์
- ประจำเดือนขาดผิดปกติ แต่กลับมีอาการปวดท้องมาก
สัญญาณเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับโรคทางนรีเวชที่อันตราย หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
5. แนวทางการรักษาอาการปวดท้องน้อยตามสาเหตุ
แพทย์จะวางแผนการรักษาตามผลการวินิจฉัย ดังนี้:
- ยาปฏิชีวนะ/ยาฆ่าเชื้อ: สำหรับรักษาการติดเชื้อหรืออักเสบในระบบสืบพันธุ์
- ยาปรับฮอร์โมน: สำหรับกรณีความผิดปกติของฮอร์โมน หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- การติดตามอาการหรือผ่าตัด: สำหรับเนื้องอกมดลูก หรือซีสต์รังไข่ (ขึ้นอยู่กับความจำเป็น)
- การดูแลตัวเองที่บ้าน: ประคบอุ่น, พักผ่อนให้เพียงพอ, รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
คำเตือน: ไม่แนะนำให้ซื้อยาทานเอง เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
6. วิธีป้องกันอาการปวดท้องน้อยในผู้หญิง
เพื่อลดความเสี่ยงของโรคทางนรีเวชที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดท้องน้อย คุณควรปฏิบัติ ดังนี้:
- ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นทุกวันอย่างถูกวิธี
- เปลี่ยนกางเกงในวันละ 1–2 ครั้ง และเลือกเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
- ตรวจภายในเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน
- รักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และออกกำลังกายเบาๆ อย่างสม่ำเสมอ
- ทานอาหารเพื่อสุขภาพ: ลดของหวานและของทอด
นิสัยเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยปกป้องสุขภาพระบบสืบพันธุ์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อาการปวดท้องน้อยในผู้หญิงไม่ได้อันตรายเสมอไป แต่หากมีอาการปวดเรื้อรัง หรือมีสัญญาณผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย คุณไม่ควรนิ่งนอนใจ การรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุจะช่วยให้รักษาโรคทางนรีเวชได้ทันท่วงที และช่วยปกป้องสุขภาพการเจริญพันธุ์ของคุณในระยะยาวด้วยค่ะ

